พื้นฐานของ
ทฤษฎีพหุปัญญา
วิธีการสอนเพื่อพัฒนาปัญญาหลายด้าน
“เป็นเรื่องสำคัญอย่างยิ่งยวดที่เราควรรู้จักและส่งเสริมความฉลาดนานาชนิดของมนุษย์
ที่มนุษย์มีความแตกต่างก็เพราะเรามีความฉลาดแตกต่างกัน ถ้าเรายอมรับเช่นนี้แล้วเราจะสามารถแก้ปัญหาที่เราประสบในโลกนี้ได้มากขึ้น
เฮาวาร์ด การ์ดเนอร์ (1987)
เมื่อปี ค.ศ. 1904 (พ.ศ.2477) กระทรวงศึกษาธิการในเมืองปารีสได้ขอร้องให้นักจิตวิทยาชาวฝรั่งเศสชื่อ อัลเฟรดบิเนท์ (Alfred Bainet)
และคณะทำการพัฒนาเครื่องมือกำหนดนักเรียนประถมศึกษาที่มีความเสี่ยงต่อความสอบตก
เพื่อหาการแก้ไขจากการพัฒนาเครื่องมือนี้ทำให้เกิดแบบทดสอบเชาว์ปัญญาขึ้นเป็นอันดับแรกของโลก
หลายปีต่อมาจึงแพร่เข้าไปในสหรัฐอเมริกาและใช้กันอย่าง
แพร่หลายจนเป็นที่รู้จักกันในปัจจุบันว่า
“ เชาว์ปัญญา” และทดสอบไอคิว (IQ) หรือแบบทดสอบเชาว์ปัญญา
เกือบแปดสิบปีหลังจากที่มีแบบทดสอบเชาว์ปัญญาฉบับแรก
นักจิตวิทยาชาวอเมริกันแห่งมหาวิทยาลัยฮาร์วาร์ด
ชื่อ เฮาวาร์ การ์ดเนอร์
ได้ประกาศว่า โลกของเราตีความหมายของความฉลาด หรือ เชาว์ปัญญา หรือสติปัญญาแคบไป การ์ดเนอร์เสนอในหนังสือชื่อ “ขอบเขตของจิต” ( Frames
of mind) เมื่อปี พ.ศ. 2526( Grarner,1983) ว่าความฉลาดหรือเชาว์ปัญญาของมนุษย์ นี้มีอย่างน้อย 7 ด้าน การด์เนอร์ เรียกทฤษฎี ของเขาว่า
“ ทฤษฎี
พหุปัญญา ”
(Theory of
Multple lntellikjgence -M.l. ) การ์ดเนอร์ต้องการจะรู้จักขอบเขตศักยภาพ
ของความสามารถของมนุษย์ ที่นอกเหนือไปจาก คะแนนแบบทดสอบ เชาว์ปัญญา
เขาตั้งข้อสงสัย ถึงความเชื่อถือได้
ของแบบทดสอบเชาว์ปัญญาแบบต่างๆที่ดึงคนออกจากสิ่งแวดล้อม ตามธรรมชาติ
และให้ทำหรือตอบเรื่องราวต่างๆที่ไม่เคยทำ
การ์ดเนอร์ บอกว่าความฉลาด
หรือเชาว์ปัญญาหน้าจะเกี่ยวกับความสามารถใน1) การแก้ปัญหา และ2) การออกแบบผลผลิตที่ทันสมัยในธรรมชาติอ้างอิง
ผู้แต่ง อาร์สตรอง,โธมัส.
ชื่อเรื่อง
พหุปัญญาในห้องเรียน:วิธีการสอนเพื่อพัฒนาปัญญาหลายด้าน
กรุงเทพฯ:ศูนย์พัฒนาหนังสือ กรมวิชาการ, 2542
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น