คนส่วนมากมักสงสัยว่า ทำไมการด์เนอร์ จึงจัดความสมารถ
ทางดนตรีพื้นที่ร่างกายการเคลื่อนไหว ให้เป็นปํญญาชนิดหนึ่ง แทนที่จะเป็น “ความถนัด”หรือ “ความสามารถเฉพาะด้าน” การ์ดเนอร์เข้าใจดีว่า
เรามักจะชินกับคำว่า” เขาเป็นคนไม่ฉลาดหรอก แต่เขามีความสามารถพิเศษทางด้านตนตรี” การ์ดเนอร์ ยืนยันว่า ความสา
มารถพิเศษต่างๆเหล่านี้เป็นปัญญาเฉพาะด้าน
โดยเขามีเกณฑ์ พิจารณาดังต่อไปนี้
ปัญญามีลักษณะเฉพาะด้าน
จากการศึกษาเรื่องสมอง ระหว่าที่การด์เนอร์ทำงานกับองค์กรทหารผ่านศึกแห่งเมืองบอสตัน เขาพบว่า บุคคลที่ประสบอุบัติเหตุด้านหน้าซ้าย
ที่เรียกว่า บริเวณ โบรคา (Broca
ares)ซึ่งเป็นด้านของปัญญาทางภาษาถูกทำลาย ไป ปรากฏว่า
บุคคลนั้นจะมีความยากลำบากในการพูด อ่าน เขียน และการใช้ภาษาแต่เขาก็ยังร้องเพลงเต้นรำ มีความรู้สึก
และมีสัมพันธภาพกับผู้อื่นเหมือนเดิม และบุคคล
ที่สมองด้านหน้าขวาถูกทำลายก็ทำให้หมดความสามารถทางดนตรี
จากกรณีทำนองเดียวกันกับข้างต้นมีอีกหลายกรณี และจากทฤษฎี สมองซีกซ้ายขวาซึ้งเป็นที่สนใจแพร่หลายระหว่างปี
1970(พ.ศ.2513)ก็เป็นที่เชื่อได้ว่า
ปัญญาความฉลาดแต่ละด้านจะอยู่ตามที่ต่างๆของสมอง
ตัวอย่างนักปราชญ์และบุคคลที่มีความสมารถพิเศษ
นักปราชญ์หรือผู้มีความสามารถพิเศษมักจะมีความสามารถอย่างใดอย่างหนึ่งเด่น
ชัดออกมา
ชัดเจนประดุจภูเขาบนที่ราบ โดยความสามารถที่เด่นนั่นจะสูงเหมือนภูเขา
แต่ความสามารถอื่นๆด้อยเปรียบเสมือนที่ราบ ยกตัวอย่าง ภาพยนตร์ The Rain
Man ซึ่งทำมาจากเรื่องจริง
เรย์มอนด์
ตัวเอกของเรื่องที่มีความสามารถทางคณิตศาสตร์อย่างมหัศจรรย์
แต่ปัญญาความสามารถด้านอื่น ต่ำมาก เขาใช้ภาราได้ไม่ดี ไม่มีมนุษย์สัมพันธ์ และไม่มีความสามารถในการเข้าใจตนเอง
นอกจากนี้ยังมีคนที่เด่นทางดนตรีแต่อย่างอื่นด้อย
พัฒนาการของปัญญาและผลงานสูงสุด
ความฉลาดหรือปัญญาด้านต่างๆจะเปล่งประกายในวัฒนธรรมที่ยกย่องคุณค่าและความงอกงามของปัญญาความฉลาดด้านนั้นความงอกงามของปัญญาความฉลาด
แต่ละด้านจะมีวิถีพัฒนาการต่างๆกัน
เช่นบางด้านจะเห็นได้ชัดตั้งแต่วัยเด็ก
เช่น ดนตรี โมสาร์ทสามารถแต่งเพลงตนตรีได้ตั้งแต่อายุ 4ขวบ และในขณะเดียวกัน
นักแต่งเพลง
นักดนตรีหลายคนยังมีความสามารถไปจนถึงวัยชราอายุ 80-90ปี ก็ยังสามารถแต่งดนตรี
เล่นตนตรี หรืออำนวย วงดนตรี ได้อย่างดี
ความฉลาดหรือปัญญาด้านคณิตศาสตร์จะไม่ปรากฎในวัยเยาว์มากเหมือนด้านดนตรี(เด็ก4ขวบจะยังคิดเป็นรูปธรรมอยู่) แต่ก็ปรากฏเห็นชัดในตอนอายุวัยรุ่น
แบลส์ ปาสคาล (Blaise pascall) และคาร์ล เฟรเดอริค กอส(Karl Friedrich
Gauss)แต่นักคณิตศาสตร์ บางคนก็ถึงขั้นสูงสุดอายุประมาณ 40ปี
แต่นักประพันธ์ นักเขียนนวนิยายจะประสบความสำเร็จ
ทำงานได้ถึงขั้นสูงสุดอายุประมาณ 40-50ปี หรือมากกว่านั้น คุณยายโมเสส (Grandma Moses) เริ่มฝึกวาดภาพเมืออายุ75ปี และประสบความสำเร็จสูงสุด เปียเจต์(Piaget)ได้นำแผนผังพัฒนาการทางตรรกะและคณิตศาสตร์ว่าวัยใดจะคิดได้อย่างไร
อีริคสัน(Erikson)คิดทฤษฎีหรือแผนผังพัฒนาการทางมนุษยสัมพันธ์และความเข้าใจตนเอง โนม
ชอมสกี(Noam Chosky) หรือ เ ลฟว์ วีกอตสกี้ (Lev Vygotsky)คิดแผนผังพัฒนาทางภาษา
ซึ่งในแผนผังจะสรุปพัฒนาการของปัญญาแต่ละด้านไว้
การ์ดเนอร์(Gardner,1993)กล่าวว่า เราจะทราบขั้นสูงสุดของปัญญาแต่ละด้านจากผลงานของผู้นั้น เช่น เบโธเฟนกับผลงานกับผลงานซิมโฟนี “อีโรอิคา”(Eroical)โปรดดูแผนภูมิที่สรุปผลงานสูงสุดของปัญญาแต่ละด้าน
ปัญญาแต่ละด้านมีประวัติวิวัฒนาการอันยาวนาน การ์ดเนอร์ สรุปว่า ปัญญาแต่ละด้านมีวิวัฒนาการในช่วงระยะเวลาอันยาวนาน เช่น
ปัญญาด้านพื้นที่(Spatial
intelligence)จะเห็นจากภาพเขียนในถ้ำก่อนประวัติศาสตร์ ปัญญาทางด้านพื้นที่นี้ได้จากเครื่องมือในสมัยก่อนประวัติศาสตร์
ปัญญา
ด้านหนึ่งจะเป็นที่ยกย่องในสมัยหนึ่ง แต่อาจจะลดลงในอีกสมัยหนึ่ง เช่น
ปัญญาทางด้านร่างกายและการเคลื่อนไหวเคยเป็นที่ยกย่องมากเมื่อร้อยกว่าปีใน
อเมริกา เพราะในสมัยนั้น อเมริกาเป็นสังคมเกษตรชนบท
ความสามารถในการเพาะปลูกและเก็บเกี่ยวต้องอาศัยพละกำลังที่แข็งแรง
ในอนาคต ปัญญาบางด้านอาจจะเป็นที่ยกย่อง
เช่นในยุคข้าวสาร ปัจจุบันมีการใช้โทรทัศน์
วีดีทัศน์ คอมพิวเตอร์ และเทคโนโลยีทางการสื่อสาร
ข้อสนับสนุน
จากแบบทดสอบทางจิตวิทยา ถึงแม้
การ์ดเนอร์ไม่สู้จะเห็นด้วยกับแบบทดสอบมาตรฐานขณะนี้
แต่เขากล่าวว่าแบบทดสอบมาตรฐานปัจจุบันอาจจะทดสอบความฉลาดหรือปัญญาบางด้านได้ เช่น
แบบทดสอบเชาวน์ปัญญาสำหรับเด็กของ
เวคสเลอร์(Wechsler
Intelligence for children)ซึ่งมีแบบทดสอบย่อยทางภาษา(คำศัพท์ข้อมูล) ทางตรรกะและคณิตศาสตร์ (เลขคณิต)ด้านพื้นที่(การจัดรูปภาพ)
ด้านร่างกาย(การจัดสิ่งของ)แบบทดสอบวัดปัญญาทางด้านมนุษยสัมพันธ์และความเข้าใจตนอาจจะใช้
Vineland Society Maturity
Scale และ The
Coppersmith Self-Esteem Inventory
การสำรวจแบบทดสอบมาตรฐานที่มีอยู่ในปัจจุบัน เพื่อทดสอบปัญญาทั้ง 7ด้านนี้
ข้อสนับสนุนจากงานจิตวิทยาทดลอง
จากการศึกษาทางจิตวิทยาการทดลองพบว่า
ปัญญาความฉลาดแต่ละด้านจะอย่แยกกัน เช่น
บุคคลที่อ่านหนังสือได้เก่งแต่ไม่สามารถถ่ายโอนความสามารถนี้ไปยัง
คณิตศาสตร์ได้
หรือบางคนมีความจำดีในเรื่องคำพูดและภาษา แต่จะจำหน้าคนไม่ได้เลย
หรือบางคนมีความสามารถทางดนตรีมีความไวต่อเสียงดนตรี
แต่ถนัดหรือไวต่อเสียงพูด ดังนั้น
มนุษย์แต่ละคนมีความสามารถต่างกันในด้านต่างๆ
มีขุดความสามารถในการกระทำของปัญญาแต่ละด้าน การ์ดเนอร์ กล่าวว่า
ปัญญาแต่ละด้านจะมีชุดความสามารถของตนเอง เช่น
ปัญญาทางดนตรีจะมีความสามารถซึ่งทำให้เกิดความไวต่อจังหวะ เสียง ทำนอง หรือปัญญาทางด้านร่างกาย –การเคลื่อนไหวจะมีชุดความสามารถที่จะเลียนแบบการเคลื่อนไหวของผู้อื่น
ปัญญาแต่ละด้านสามารถมีระบบสัญลักษณ์มีระบบสัญลักษณ์ของตน การ์เนอร์กล่าวว่า
เครื่องบ่งชี้ที่แสดงความแตกต่างระหว่างคนกับสัตว์ชนิดอื่นคือคน ซึ่งสามารถสร้างสัญลักษณ์และปัญญา
แต่ละด้านจะมีสัญลักษณ์ของตนเอง
อ้างอิง
ผู้แต่ง อาร์สตรอง,โธมัส.
ผู้แต่ง อาร์สตรอง,โธมัส.
ชื่อเรื่อง
พหุปัญญาในห้องเรียน:วิธีการสอนเพื่อพัฒนาปัญญาหลายด้าน
กรุงเทพฯ:ศูนย์พัฒนาหนังสือ กรมวิชาการ, 2542
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น